การเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่เหมาะสมกับกลองไฟฟ้า
อัปเดตล่าสุด : 01/04/2025
กลองไฟฟ้าเป็นเครื่องดนตรีที่มอบความยืดหยุ่นในการสร้างสรรค์เสียงมากมายจากระบบดิจิทัล การเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่เหมาะสมกับกลองไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เสียงจากกลองไฟฟ้าของคุณมีความคมชัดและเต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะใช้งานในสตูดิโอหรือการแสดงสด การเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่ดีสามารถทำให้ประสบการณ์การเล่นดนตรีของคุณดีขึ้นอย่างมาก
 
1. ประเภทของแอมพลิฟายเออร์สำหรับกลองไฟฟ้า
แอมพลิฟายเออร์สำหรับกลองไฟฟ้ามีหลายประเภท โดยส่วนใหญ่จะมีการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย คำแนะนำในการเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่เหมาะสมคือการคำนึงถึงประเภทของแอมพลิฟายเออร์ที่สามารถขับเสียงได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
 • แอมพลิฟายเออร์ที่ออกแบบมาสำหรับกลองไฟฟ้าโดยเฉพาะ: แอมพลิฟายเออร์ประเภทนี้ได้รับการออกแบบให้รองรับการสัญญาณจากกลองไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้เสียงที่ได้มีคุณภาพดีและไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในด้านของการขยายเสียงที่มีการตอบสนองต่อความเร็วและความหนักเบาของการตี
 • แอมพลิฟายเออร์ทั่วไป (Powered PA speakers): บางครั้งคุณสามารถเลือกแอมพลิฟายเออร์ทั่วไปที่ใช้กับเครื่องเสียง PA (Public Address System) ได้ แต่ต้องมั่นใจว่าแอมพลิฟายเออร์เหล่านั้นสามารถรองรับการขยายเสียงจากกลองไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากกลองไฟฟ้ามักจะมีความหลากหลายของเสียงและจังหวะที่ต้องการการขยายเสียงที่สะอาดและไม่มีการบิดเบือน
 
2. กำลังขับ (Power Output)
กำลังขับของแอมพลิฟายเออร์คือสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา เนื่องจากมันมีผลต่อความดังและคุณภาพของเสียงที่ได้ โดยทั่วไปแล้วกลองไฟฟ้าจะใช้แอมพลิฟายเออร์ที่มีกำลังขับระหว่าง 50W ถึง 500W ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่คุณเล่น
 • สำหรับการซ้อมในห้องเล็กๆ: แอมพลิฟายเออร์ที่มีกำลังขับ 50W ถึง 100W ก็เพียงพอแล้ว
 • สำหรับการแสดงสด: หากคุณเล่นในเวทีใหญ่หรือมีการแสดงในที่ที่มีผู้ชมจำนวนมาก คุณอาจต้องการแอมพลิฟายเออร์ที่มีพลังมากขึ้น เช่น 200W ถึง 500W เพื่อให้เสียงกลองได้ยินชัดเจนและดังพอ
 
3. คุณภาพเสียง
คุณภาพของเสียงที่แอมพลิฟายเออร์จะขยายออกมานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นักดนตรีควรพิจารณา แอมพลิฟายเออร์ที่มีคุณภาพสูงจะสามารถรักษาความชัดเจนและความเป็นธรรมชาติของเสียงกลองไฟฟ้าไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่หนักแน่นหรือเสียงที่เบา การเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่ให้เสียงที่ไม่ผิดเพี้ยนและมีการตอบสนองที่ดีจะช่วยให้ประสบการณ์ในการเล่นดนตรีดีขึ้นมาก
 
4. การเชื่อมต่อและฟีเจอร์ต่างๆ
แอมพลิฟายเออร์ที่ดีควรมีการเชื่อมต่อที่สะดวกสบาย และฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยให้คุณควบคุมเสียงได้อย่างละเอียด
 • อินพุตที่หลากหลาย: ควรเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่มีช่องเชื่อมต่อที่รองรับกับกลองไฟฟ้า เช่น ช่องเสียบแจ็ค 1/4 นิ้ว หรือ XLR สำหรับการเชื่อมต่อกับระบบเสียงอื่นๆ
 • EQ (Equalizer): ฟังก์ชันการปรับแต่งเสียง EQ เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สำคัญในการควบคุมเสียง กลองไฟฟ้ามีหลากหลายเสียงที่สามารถปรับแต่งได้ หากแอมพลิฟายเออร์มี EQ คุณสามารถปรับเสียงให้เหมาะสมกับสไตล์ของคุณได้ง่ายขึ้น
 • พอร์ตการเชื่อมต่อหูฟัง: การเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่มีพอร์ตหูฟังจะช่วยให้คุณสามารถซ้อมโดยไม่รบกวนผู้อื่นได้
 
5. ขนาดและการพกพา
หากคุณต้องการแอมพลิฟายเออร์สำหรับการแสดงสดหรือการเดินทางไปแสดงในที่ต่างๆ ขนาดและน้ำหนักของแอมพลิฟายเออร์ก็เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง แอมพลิฟายเออร์ขนาดเล็กที่มีน้ำหนักเบาจะสะดวกในการเคลื่อนย้ายและตั้งค่าระบบ แต่หากคุณต้องการพลังเสียงที่มากขึ้น อาจต้องเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่มีขนาดใหญ่และหนักกว่า
 
6. ราคาและแบรนด์
การเลือกแอมพลิฟายเออร์ในราคาที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับนักดนตรีมือใหม่ที่อาจมีงบประมาณจำกัด การเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้และมีชื่อเสียงจะช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพของสินค้าแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในวงการกลองไฟฟ้า เช่น Roland, Yamaha, Alesis, และ Behringer ล้วนมีแอมพลิฟายเออร์ที่รองรับการใช้งานกลองไฟฟ้าได้ดี และมีตัวเลือกหลากหลายที่สามารถตอบโจทย์นักดนตรีได้
 
สรุป
การเลือกแอมพลิฟายเออร์ที่เหมาะสมกับกลองไฟฟ้านั้นจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งกำลังขับ, คุณภาพเสียง, ฟีเจอร์ที่มี, และขนาดที่เหมาะสม การลงทุนในแอมพลิฟายเออร์ที่ดีจะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์การเล่นที่ดีขึ้น และสามารถสร้างสรรค์เสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้น อย่าลืมทำการวิจัยและทดลองใช้แอมพลิฟายเออร์ก่อนตัดสินใจซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าเลือกอุปกรณ์ที่ตรงกับความต้องการของคุณที่สุด!