เคล็ดลับการเลือกกลองไฟฟ้าให้เหมาะกับสไตล์การเล่นของคุณ
อัปเดตล่าสุด : 02/11/2025
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในวงการดนตรีมากขึ้น “กลองไฟฟ้า” กลายเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนักตีกลองมือใหม่ที่อยากฝึกซ้อมในห้องพัก หรือมืออาชีพที่ต้องการควบคุมเสียงอย่างแม่นยำในการแสดงสด กลองไฟฟ้าได้เข้ามาเติมเต็มทุกสไตล์การเล่นอย่างแท้จริงแต่คำถามสำคัญคือ… “จะเลือกกลองไฟฟ้าอย่างไรให้เหมาะกับสไตล์ของเรา?”เพราะกลองแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์ มีจุดเด่นและฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน การเลือกให้เข้ากับแนวเพลงและลักษณะการตีกลองของคุณ
 
🎵 รู้ก่อนเลือก: เข้าใจสไตล์การเล่นของตัวเอง
ก่อนจะตัดสินใจซื้อกลองไฟฟ้า ควรถามตัวเองก่อนว่า “เราเล่นแนวไหน?”
-ร็อกหรือเมทัล – ต้องการเสียงหนักแน่น ตอบสนองเร็ว และแป้นทนต่อแรงตีสูง กลองที่มีแป้นแบบ Mesh Head คุณภาพดี พร้อมระบบตรวจจับแรงตีหลายระดับ (multi-zone) จะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
 
-ป็อป / ฟิวชั่น / ฟังก์ – เหมาะกับกลองที่มีเสียงหลากหลาย ปรับโทนได้หลายแบบ และมีระบบ Dynamic Sound Engine ที่จำลองเสียงกลองอะคูสติกได้สมจริง
 
-แจ๊ส หรือแนวทดลอง (Experimental) – ควรมองหากลองที่รองรับการเชื่อมต่อ MIDI หรือซอฟต์แวร์แต่งเสียง เพื่อปรับแต่งเสียงตามจินตนาการได้ไม่จำกัด
 
-เมื่อคุณรู้แนวทางของตัวเองแล้ว การเลือกกลองจะชัดเจนขึ้น และไม่หลงไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
 
🥁 ขนาดชุดและแป้นกลอง – ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ขนาดของชุดกลองไฟฟ้าเป็นอีกเรื่องที่ควรพิจารณา
-มือใหม่หรือพื้นที่จำกัด – เลือกรุ่น Compact Set ที่ขนาดเล็ก พับเก็บง่าย และติดตั้งสะดวก เช่น กลอง 5 ชิ้นพื้นฐานพร้อมเสียงมาตรฐาน
 
-มืออาชีพหรือผู้ที่เล่นจริงจัง – เลือกรุ่นที่มีจำนวนแป้นมากกว่า เช่น 7-9 ชิ้นขึ้นไป พร้อมแป้นไฮแฮตแบบขาตั้งจริง หรือแป้น Ride ที่ตอบสนองได้หลายโซน จะให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับกลองอะคูสติกมากที่สุด
 
-วัสดุของแป้นก็สำคัญเช่นกัน – Mesh Head จะให้สัมผัสนุ่มและเด้งเหมือนกลองจริง ในขณะที่ Rubber Pad จะทนทาน ราคาย่อมเยา เหมาะกับการฝึกซ้อมทั่วไป
 
⚙️ ฟังก์ชันและเทคโนโลยี – หัวใจของกลองยุคใหม่
กลองไฟฟ้าสมัยนี้ไม่ได้มีดีแค่เสียง แต่ยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมการเล่น เช่น
-ระบบเรียนรู้ในตัว (Coaching Function) สำหรับฝึกจังหวะและความแม่นยำ
 
-การเชื่อมต่อ Bluetooth / USB / MIDI เพื่อซิงค์กับแอป ฝึกซ้อม หรือบันทึกเสียงลงคอมพิวเตอร์
 
-Sample Import ให้คุณโหลดเสียงกลองหรือซาวด์ที่ชอบมาใช้ได้เอง
 
-Recording Mode สำหรับอัดเสียงเล่นของตัวเอง เพื่อนำมาปรับปรุงหรือแชร์ลงโซเชียล
 
-ยิ่งถ้าคุณเป็นคนชอบสร้างสรรค์เสียงใหม่ๆ ฟังก์ชันพวกนี้จะกลายเป็นคู่ใจที่เปิดโลกดนตรีให้กว้างขึ้น
 
🎚️ งบประมาณและความคุ้มค่า
กลองไฟฟ้ามีตั้งแต่หลักหมื่นต้นๆ ไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับแบรนด์และเทคโนโลยีภายใน
-ระดับเริ่มต้น (Beginner): เหมาะสำหรับฝึกซ้อมหรือเรียนรู้เบื้องต้น ราคาประมาณ 10,000–25,000 บาท
 
-ระดับกลาง (Intermediate): เหมาะกับผู้เล่นที่มีประสบการณ์ ต้องการเสียงสมจริงมากขึ้น ราคา 30,000–60,000 บาท
 
-ระดับมืออาชีพ (Professional): ใช้งานแสดงสดหรืออัดเสียงจริงจัง ราคา 70,000 บาทขึ้นไป
 
-การเลือกกลองที่ “คุ้มค่ากับการใช้งาน” ดีกว่าการซื้อรุ่นใหญ่ที่เกินความจำเป็น เพราะสิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้ว่า “เราจะใช้มันทำอะไร” และ “มันตอบโจทย์สไตล์ของเราจริงไหม”
 
🎤 ทดลองก่อนตัดสินใจ – อย่าซื้อเพียงเพราะรีวิว
แม้ข้อมูลออนไลน์จะช่วยให้เราตัดสินใจได้มาก แต่การไปลองด้วยตัวเองคือขั้นตอนที่ขาดไม่ได้การสัมผัสแรงตอบสนองของแป้น เสียงจริงผ่านลำโพง และตำแหน่งของชุดกลอง จะทำให้คุณรู้ทันทีว่ากลองชุดนั้น “เข้ามือ” คุณหรือไม่ถ้ามีโอกาส ควรลองเปรียบเทียบ 2–3 รุ่นก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ของที่เหมาะที่สุดกับสไตล์การเล่นและงบประมาณ
 
สรุป
กลองไฟฟ้าไม่ใช่แค่เครื่องดนตรีเทคโนโลยีล้ำยุค แต่เป็น “เพื่อนร่วมทางของนักดนตรี” ที่จะอยู่กับคุณในทุกสไตล์การเล่น ไม่ว่าคุณจะชอบแนวร็อกที่หนักแน่น ป็อปที่สนุกสนาน หรือแจ๊สที่อิสระที่สุด การเลือกกลองให้เหมาะกับตัวเองคือจุดเริ่มต้นของการสร้างเอกลักษณ์ในเสียงและสไตล์ของคุณ