ตั้งค่ากลองไฟฟ้าอย่างไรให้ได้เสียงแบบมืออาชีพ
อัปเดตล่าสุด : 01/11/2025
เสียง “กลอง” คือหัวใจของดนตรี ไม่ว่าจะเป็นร็อก ป็อป หรือแจ๊ส ทุกจังหวะที่ถูกตีออกมาคือพลังที่ขับเคลื่อนเพลงให้มีชีวิต สำหรับมือกลองยุคใหม่ “กลองไฟฟ้า” กลายเป็นเครื่องมือคู่ใจที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านการซ้อม การอัดเสียง และการแสดงสด แต่สิ่งที่หลายคนมักมองข้ามคือ “การตั้งค่าเสียง” — เพราะกลองไฟฟ้าไม่ได้มีดีแค่เสียงสำเร็จรูปจากโรงงาน หากปรับแต่งให้ถูกวิธี เสียงที่ได้จะใกล้เคียงกับมืออาชีพในสตูดิโอได้อย่างไม่น่าเชื่อ!
 
ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาดู เทคนิคการตั้งค่ากลองไฟฟ้าให้ได้โทนเสียงที่โปรมากขึ้น ทั้งในด้านโทน ความสมจริง และบาลานซ์เสียง เพื่อยกระดับการเล่นของคุณให้เหนือขึ้นอีกขั้น
 
🎛️ ขั้นตอนที่ 1: เริ่มจาก “การเลือกชุดเสียง (Drum Kit)” ที่เหมาะกับแนวเพลง
ก่อนปรับแต่งใด ๆ ควรเริ่มจากเลือกชุดเสียงที่ใกล้เคียงแนวเพลงที่คุณเล่น เช่น
-ร็อกหรือเมทัล: เลือกชุดกลองที่มีเสียงกระเดื่องหนักแน่น สแนร์ชัด และไฮแฮทคม
 
-แจ๊สหรือบลูส์: เน้นเสียงที่อบอุ่นและธรรมชาติ ใช้สแนร์ที่เสียงแห้งหน่อยและ Ride ที่กลมกล่อม
 
-ป็อปหรืออิเล็กทรอนิกส์: ใช้เสียงที่คมและกระชับ มีความบาลานซ์ทุกชิ้น
 
-เริ่มจากพรีเซต (Preset) ที่ใกล้เคียงก่อน แล้วค่อยปรับแต่งต่อภายหลังเพื่อให้เข้ากับสไตล์ของคุณมากขึ้น
 
🎚️ ขั้นตอนที่ 2: ปรับ “Sensitivity” และ “Threshold” ให้ตอบสนองตามแรงตี
-สองค่าที่มักถูกละเลยคือ Sensitivity (ความไวในการรับแรงตี) และ Threshold (ระดับแรงตีขั้นต่ำที่กลองจะตอบสนอง)
 
-หากตั้ง Sensitivity สูงเกินไป เสียงอาจดังแม้ตีเบา ทำให้เสียบาลานซ์
 
-หากตั้ง Threshold ต่ำเกินไป จะเกิดเสียงแทรกจากการสัมผัสเบา ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
 
-ลองปรับให้พอดีกับน้ำหนักมือของคุณจริง ๆ เพื่อให้กลองตอบสนองเป็นธรรมชาติที่สุด
 
🥁 ขั้นตอนที่ 3: ปรับ “Velocity Curve” ให้ได้ไดนามิกเหมือนกลองจริง
-Velocity Curve คือเส้นกราฟที่กำหนดการเปลี่ยนแปลงของความดังตามแรงตี
 
-มือใหม่ อาจใช้โหมด Linear เพื่อให้เสียงดังขึ้นตามแรงตีแบบตรงไปตรงมา
 
-มืออาชีพ มักเลือก Curve แบบ Exponential หรือ Soft เพื่อควบคุมอารมณ์และความละเอียดของจังหวะได้ดีกว่า
 
-การตั้งค่า Velocity Curve ให้เข้ากับสไตล์การตีจะช่วยให้เสียงมีชีวิตและกลมกลืนมากขึ้น
 
🎧 ขั้นตอนที่ 4: ปรับ EQ และ Reverb เพื่อให้ได้โทนเสียงสมจริง
-EQ (Equalizer): ช่วยปรับบาลานซ์ของแต่ละชิ้น เช่น ตัดความถี่ต่ำของสแนร์เล็กน้อย หรือเพิ่มย่านกลางของทอมให้ชัด
 
-Reverb: เพิ่มความก้องให้ฟังเหมือนเล่นในห้องจริงหรือสตูดิโอ แต่อย่าใส่มากเกินไป เพราะจะทำให้เสียง “ลอย” และขาดความชัดเจน
 
-ลองทดลองปรับ EQ ทีละนิด แล้วฟังผ่านหูฟังหรือมอนิเตอร์คุณภาพดี เพื่อหาจุดลงตัวที่ “หูคุณชอบและเสียงสมดุล”
 
🎵 ขั้นตอนที่ 5: ใช้การ “เลเยอร์เสียง (Layering)” เพิ่มมิติให้เสียง
กลองไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ สามารถซ้อนเสียงได้หลายชั้น เช่น ให้เสียงสแนร์มีทั้งเสียงหัวไม้และเสียงขอบในจังหวะเดียว หรือเพิ่มเสียง Ambience เบา ๆ เพื่อให้มีความหนา เสียงที่ได้จะมีมิติและเป็นธรรมชาติกว่ามาก
 
🎤 ขั้นตอนที่ 6: จำลองสภาพแวดล้อม (Ambience / Room Setting)
-กลองบางรุ่นมีฟังก์ชันจำลองห้อง (Room Type) เช่น ห้องเล็ก ห้องสตูดิโอ หรือฮอลล์ใหญ่
 
-ถ้าใช้ซ้อมส่วนตัว เลือก “ห้องเล็ก” เพื่อความชัด
 
-ถ้าใช้เล่นสดหรืออัดเสียง เลือก “ห้องสตูดิโอ” เพื่อความอบอุ่นและมีมิติ
 
-อย่าลืมทดสอบกับระบบลำโพงหรือหูฟังที่ใช้จริงก่อนบันทึกหรือแสดง
 
⚙️ ขั้นตอนที่ 7: บันทึกค่าที่เหมาะสมไว้ (User Kit)
เมื่อได้เสียงที่พอใจแล้ว อย่าลืม บันทึกไว้ในช่อง User Kit เพื่อให้สามารถเรียกใช้ได้ทันทีในครั้งต่อไป และปรับแต่งต่อได้สะดวกเมื่อใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ซ้อมกับวง อัดเพลง หรือเล่นไลฟ์
 
สรุป
การตั้งค่ากลองไฟฟ้าให้ได้เสียงระดับมืออาชีพไม่ใช่เรื่องของอุปกรณ์แพงเสมอไป แต่คือ “การเข้าใจเสียงของตัวเอง” และรู้วิธีปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์การเล่น การเลือกเสียง การปรับ Sensitivity, Velocity Curve, EQ และ Reverb อย่างละเอียด จะเปลี่ยนชุดกลองไฟฟ้าธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่สะท้อนเอกลักษณ์ของคุณได้อย่างแท้จริง
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่ม หรือมืออาชีพที่ต้องการอัพเกรดเสียงของตัวเอง ลองใช้เทคนิคเหล่านี้แล้วคุณจะรู้ว่า... “เสียงกลองไฟฟ้าที่ดี ไม่ได้มาจากเครื่องแพง แต่มาจากการตั้งค่าอย่างชาญฉลาด” 🥁⚡