อัปความลื่นไหลของการตีด้วยการตั้งค่า Sensitivity และ Velocity Curve
อัปเดตล่าสุด : 17/12/2025
เคยไหม…ตีเบาแล้วเสียงดังกว่าที่คิด หรือตีแรงแล้วมันไม่ “พีค” เท่าที่ควร? ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับมือกลองไฟฟ้าทุกระดับ ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก่า และมักทำให้การซ้อม “ไม่ลื่นไหล” เท่าที่ควร ทั้งที่จริงแล้วแค่ปรับค่าเพียง 2 อย่าง—Sensitivity และ Velocity Curve—ก็สามารถทำให้เสียงตอบสนองดีขึ้นเหมือนเปลี่ยนชุดใหม่ทั้งชุด!บทความนี้จะพาคุณมารู้จักการตั้งค่าสองแบบนี้อย่างละเอียด พร้อมแนวทางการใช้จริงให้เห็นผลทันที
Sensitivity คืออะไร และส่งผลยังไงต่อการตี?
Sensitivity คือค่าความไวของแป้นกลองแต่ละใบ เมื่อคุณตีแผ่นเบา–แรง ระบบจะประมวลว่าต้องส่งสัญญาณระดับใดไปยังโมดูลเสียง
Sensitivity คือค่าความไวของแป้นกลองแต่ละใบ เมื่อคุณตีแผ่นเบา–แรง ระบบจะประมวลว่าต้องส่งสัญญาณระดับใดไปยังโมดูลเสียง
-ถ้าตั้ง สูงเกินไป → ตีเบาเสียงก็ดังเกินจริง, คุมไดนามิกยาก
-ถ้าตั้ง ต่ำเกินไป → ต้องออกแรงเยอะกว่าจะได้เสียงดัง, เล่นไม่ลื่น
ความไวนี้จึงสำคัญมาก เพราะมันทำให้ไม้กลอง “สัมพันธ์” กับเสียงที่ออกมา นี่คือจุดเริ่มต้นของความลื่นไหลที่แท้จริง
วิธีตั้งค่า Sensitivity ให้เหมาะกับสไตล์การตีของคุณ
-เริ่มที่ค่ากลางของโมดูล (เช่น 10/20 หรือ 5/10 ขึ้นอยู่กับแบรนด์)
-เริ่มที่ค่ากลางของโมดูล (เช่น 10/20 หรือ 5/10 ขึ้นอยู่กับแบรนด์)
-ตีในระดับเสียงเบา–กลาง–แรง แล้วสังเกตว่าเสียงตอบสนองสมจริงหรือไม่
-หากตีเบาแล้วเสียงยังดังมาก → ลด Sensitivity ลง
-หากตีแรงแล้วยังไม่พีค → เพิ่ม Sensitivity ขึ้นเล็กน้อย
-ทดสอบไฮแฮทเป็นพิเศษ เพราะเป็นแผ่นที่ใช้ไดนามิกมากที่สุด
ทริคพิเศษ: มือกลองที่เล่นเพลงร็อก มักตั้ง Sensitivity ต่ำกว่าแนวป๊อปหรือแจ๊ส เพื่อให้ตีแรงแล้วไม่ “คลิป” หรือเสียไดนามิกตอนลงไม้หนัก ๆ
Velocity Curve คืออะไร?
Velocity Curve คือเส้นกำหนด “รูปแบบการตอบสนองของเสียงตามแรงที่ตี”แม้ Sensitivity จะกำหนดความไว แต่ Velocity Curve จะเป็นตัวกำหนด “บุคลิก” ของการตอบสนอง
Velocity Curve คือเส้นกำหนด “รูปแบบการตอบสนองของเสียงตามแรงที่ตี”แม้ Sensitivity จะกำหนดความไว แต่ Velocity Curve จะเป็นตัวกำหนด “บุคลิก” ของการตอบสนอง
ประเภทของ Velocity Curve ที่พบบ่อย
Linear (เส้นตรง)
-ตีแรงขึ้น → เสียงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
Linear (เส้นตรง)
-ตีแรงขึ้น → เสียงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
-เหมาะกับคนที่ชอบความสมจริงแบบอะคูสติก
Exponential (โค้งขึ้น)
-ตีเบาเสียงออกเบามาก แต่พอตีแรงจะพุ่งขึ้นแบบชัดเจน
-ตีเบาเสียงออกเบามาก แต่พอตีแรงจะพุ่งขึ้นแบบชัดเจน
-เหมาะสำหรับเพลงที่ต้องการไดนามิกจัดจ้าน
Logarithmic (โค้งลง)
-ตีเบาก็ได้เสียงค่อนข้างดังขึ้นง่าย
-ตีเบาก็ได้เสียงค่อนข้างดังขึ้นง่าย
-ดีต่อมือใหม่ที่ควบคุมแรงตีไม่ค่อยนิ่ง
Soft / Hard Curve
-Soft = ตีเบาก็ออกเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
-Soft = ตีเบาก็ออกเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
-Hard = ต้องตีแรงถึงจะได้เสียงที่ดังเต็มที่
-ปรับตามความถนัดและความแข็งของไม้กลองที่ใช้
เลือก Curve แบบไหนให้ “ลื่น” ที่สุด?
ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบให้ไม้ตอบสนองแบบไหน ลองดูแนวทางนี้:
ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบให้ไม้ตอบสนองแบบไหน ลองดูแนวทางนี้:
-สายฟีลอะคูสติกจริง → Linear
-สายตีกลองคอนเทนต์, TikTok, เพลงเร็ว → Exponential (ให้เสียงพุ่ง ฉะฉาน)
-สายมือเบา มือใหม่ → Log หรือ Soft Curve
-สายร็อกหนัก ๆ → Hard Curve เพื่อลดการคลิปและควบคุมเสียงได้ชัดเจน
สิ่งสำคัญคือ “ไม่มีสูตรตายตัว” มันขึ้นอยู่กับไม้กลอง แผ่นกลอง ความแรงไม้ และหูของผู้เล่น
ข้อควรระวังในการปรับ
-อย่าปรับแรงเกินจนรู้สึกว่า “ไม้ตอบไม่ตรงมือ”
-อย่าปรับแรงเกินจนรู้สึกว่า “ไม้ตอบไม่ตรงมือ”
-แต่ละแผ่นควรตั้งต่างกัน เช่น สแนร์, ทอม, ฉาบ ตอบสนองไม่เท่ากัน
-ปรับทีละ 1–2 ระดับแล้วทดสอบก่อนเพิ่ม
-บางโมดูลเสียงมี Delay/Scan Time ที่ส่งผล ให้ตรวจสอบควบคู่ด้วย
สรุป
การปรับ Sensitivity และ Velocity Curve คือหัวใจสำคัญในการทำให้กลองไฟฟ้า “ลื่น” และตอบสนองนิ้วไม้ของคุณอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเมื่อปรับทั้งสองอย่างให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะซ้อม เล่นสด อัดคลิป หรือทำเพลง ก็จะได้สัมผัสความลื่นไหลแบบที่ทำให้คุณรู้สึกว่ากลองชุดนี้ “เป็นส่วนหนึ่งของมือคุณจริง ๆ”
การปรับ Sensitivity และ Velocity Curve คือหัวใจสำคัญในการทำให้กลองไฟฟ้า “ลื่น” และตอบสนองนิ้วไม้ของคุณอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเมื่อปรับทั้งสองอย่างให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะซ้อม เล่นสด อัดคลิป หรือทำเพลง ก็จะได้สัมผัสความลื่นไหลแบบที่ทำให้คุณรู้สึกว่ากลองชุดนี้ “เป็นส่วนหนึ่งของมือคุณจริง ๆ”
